หน้าเว็บ

chocolate

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของช็อกโกแลต

 ไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่ศึกษากับเพศชายจำนวน 8000 คนที่สำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ด พบว่า คนที่รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่เคยรับประทานช็อกโกแลต สาเหตุที่กินช็อกโกแลตแล้วอายุยืนอาจเกี่ยวข้องกับ สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่จำนวนมากในช็อกโกแลต โพลีฟีนอลเป็นสารที่ช่วยลดอนุมูลอิสระของไลโปโปรตีนความแน่นต่ำ และช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ความเชื่อดังกล่าวยังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่

 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเปรียบเทียบกลุ่มที่รับประทานช็อกโกแลตเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้รับประทานช็อกโกแลตเทียม เพื่อทดสอบความจำพบว่า กลุ่มที่กินช็อกโกแลตสามารถจดจำคำพูดและภาพได้ดีกว่า และยังเคลื่อนไหวตอบสนองได้คล่องแคล่วกว่า ปัจจุบันนักวิจัยกำลังทดลองซ้ำเพื่อเปรียบเทียบผลอยู่

 การทดลองเหล่านั้นสอดคล้องกับชีวิตของคนที่มีอายุเกินร้อยปีหลายคน ยกตัวอย่าง ฌอง คลามงต์ (1875-1997) และ ซาร่าห์ เคลาส์ (1880-1999) ทั้งสองคลั่งไคล้ช็อกโกแลตมาก คลามงต์ มีนิสัยติดกินช็อกโกแลตอาทิตย์ละสองปอนด์จนกระทั่งแพทย์ต้องแนะนำให้เธอเลิกกินเมื่ออายุได้ 119 ปี สามปีก่อนที่เธอจะลาโลกไปด้วยอายุ 122 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุยืนมักแนะนำให้กินช็อกโกแลตดำแทนขนมหวานมีแคลอรีสูงและนิยมกันมากในอเมริกา

 ในอังกฤษ ช็อกโกแลตแท่งสอดใส่คานาบิสนิยมใช้กับผู้ป่วยโรค multiple sclerosis หรือโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ หรือเอ็มเอส เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดกับระบบประสาทส่วนกลางแบบฉับพลัน โรคดังกล่าวมีพัฒนาการอย่างช้าๆ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางสายตา การพูด เมื่อรักษาเฉพาะอาการแล้วอาจเกิดขึ้นอีกได้ และร้ายแรงถึงขั้นอัมพาต ตาบอด และเสียชีวิต

 ในช็อกโกแลตมีส่วนประกอบมากกว่า 300 ชนิดที่ต่างกัน เช่นอนันดาไมด์ และเอ็นโดจีนัส คานาบินอยด์ที่พบได้ในระบบประสาท คนที่ไม่เชื่อแย้งว่า หากกินช็อกโกแลตให้ออกฤทธิ์ต่อประสาทได้จริงคงต้องกินกันทีละหลายปอนด์มากถึงเห็นผล และกินมากๆ ยังเสี่ยงเป็นนิ่วด้วย ถึงกระนั้น มีข้อมูลน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือ สารสองชนิดของอนันดาไมด์พบอยู่ในช็อกโกแลต ซึ่งเชื่อกันว่ามีผลช่วยยืดความรู้สึกสุขสบายให้ยาวนาน

 ช็อกโกแลตยังมีกาเฟอีน แต่ไม่มากนักและยังสามารถหาได้จากแหล่งอื่นที่มีมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ช็อกโกแลตนมมีกาเฟอีนน้อยกว่าดื่มกาแฟชนิดกาเฟอีนต่ำเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ช็อกโกแลตมีสารทริพโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เมื่อร่างกายขับเซโรโทนินออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความวิตกกังวลได้

 ช็อกโกแลตช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สารที่คล้ายกับที่ได้จากฝิ่นที่ผลิตขึ้นเองในร่างกาย เมื่อร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ บางครั้งเชื่อว่า เอ็นดอร์ฟินมีส่วนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและสงสัยกันว่าเป็นตัวที่ทำให้คนบางคนถึงขนาดติดช็อกโกแลตงอมแงม

ช็อกโกแลตดีจริงหรือ

 ขึ้นชื่อว่า ชอคโกแล็ต บรรดานักชิมคงจะอดใจยากที่จะไม่ลิ้มลอง ตัวเลขบนตราชั่งที่ทำให้นักชิมทำใจไม่ได้ คือผลที่ตามมาหลังจากจัดการ กับของหวานชิ้นโปรดไปแล้ว เอ.. อย่างนี้ก็เท่ากับ ช๊อกโกแล็ต กินแล้วอ้วน แล้วผลร้ายอื่นๆที่ตามมามีหรือเปล่านะ น่าสงสัย ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ช๊อกโกแล็ตให้คุณหรือโทษ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่คุณรับประทานมันเข้าไป เมื่อไม่นานมานี้ มีการรายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคช๊อกโกแล็ต ขนมหวานยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ที่ว่า ช๊อกโกแล็ตนั้น มีสาร antioxidant เป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้ดูเหมือนว่า ช๊อกโกแล็ตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ เสียมากกว่าจะเป็นของหวานทำลายสุขภาพ ซึ่งก็จริงอยู่ที่ว่า ช๊อกโกแล็ตนั้นมีส่วนช่วยป้องกัน ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือแม้กระทั่งมีคุณประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ แต่ถ้าหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปแล้วละก็ จะทำให้มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน อันเป็นสาเหตุของโรคร้ายอีกหลายชนิด

 จากรายงานล่าสุดของ American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับประทานช๊อกโกแล็ตนั้น จะมีความสัมพันธ์กับการได้รับปริมาณ ช๊อกโกแล็ตและโกโก้เพียงเล็กน้อย โดยเมื่อเรารับประทานช๊อกโกแล็ตดำประมาณครึ่งออนซ์ หรือแป้งโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาล 1 ใน 4 ช้อนโต๊ะ ความสามารถในการ antioxidant ของร่างกายจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และ LDL ซึ่งเป็น bad cholesterol ก็จะลดลงด้วย โดย antioxidant นั้นเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

 ทั้งโกโก้ และช๊อกโกแล็ต มีส่วนประกอบสำคัญเรียกว่า Flavonoid ซึ่งพบได้ในผักและชา Flavonoid นี้ สามารถป้องกันเซลของร่างกาย ไม่ให้ทำปฏิกริยากับอณูที่เรียกว่า Free Radical ซึ่งเป็นตัวการในการของโรคหัวใจและการก่อให้เกิดเซลมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีรายงาน ของ Journal of Agricultural and Food Chemistry ที่ระบุว่าสาร Antioxidant ของโกโก้นั้น ให้ผลไม่ต่างจากชาดำและชาเขียว ในขณะเดียวกันบทความใน Experimental Biology and Medicine ก็ระบุว่า สาร Antioxidant ในโกโก้ และช็อกโกแลต ยังสามารถป้องกันเซลจากความเสียหาย อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาเซลมะเร็ง อีกทั้งส่วนประกอบในโกโก้ ยังสามารถสกัดกั้นการเติบโตของเซลมะเร็งลำไส้ ในร่างกายมนุษย์ได้ด้วย

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ซ็อกโกแลต

 ช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกเลต (Chocolate) คือผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลก

 ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม "ช็อกโกแลต" หรือบางส่วนของโลกในนาม "โกโก้"

 ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อแตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกา อุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้ว่า
♥โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้
♥เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้
♥ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของต้นโกโก้และเนยโกโก้
ช็อกโกแลตคือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของฝักถั่วโกโก้และเนยโกโก้ ซึ่งได้ผสมน้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ และถูกทำให้อยู่ในรูปของแท่งและรูปอื่น ๆ

 เมล็ดของต้นโกโก้นอกจากทำเป็นช็อกโกแลตได้แล้วยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มช็อกโกแลตนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอัซเตก (Aztecs) หลังจากนั้นโดยชนเผ่าอินเดียนแดงและชาวยุโรป

 บ่อยครั้งที่ช็อกโกแลตมักจะถูกทำให้อยู่ในรูปของสัตว์ต่าง ๆ คน หรือวัตถุในจินตนาการ เพื่อร่วมในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น รูปกระต่าย รูปทรงไข่ในเทศกาลอีสเตอร์ รูปของเหรียญหรือซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาส และรูปทรงหัวใจในเทศกาลวาเลนไทน์

Type of Chocolate

 ช็อกโกแลตในโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ชนิดเดียว แต่มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีรสชาดและความหอมหวานที่แตกต่างกันไป รวมทั้งสีก็ต่างกันในแต่ละชนิด มีทั้งที่เป็นสีน้ำตาลอย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่ และสีขาวที่ไม่น่าจะเป็นสีช็อกโกแลต แต่ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองมาดูกันซิว่าช็อกโกแลตมีอะไรบ้าง จะน่ากินแค่ไหน

♥Chocolate Liquor (ช็อกโกแลตกลั่น)
 เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อกโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัทเตอร์ประมาณ 53%


♥Semi-Sweet (แบบหวานน้อย)
 ช็อกโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใ่ส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27%

♥Milk Chocolate (ช็อกโกแลตนม)
< ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter , นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาดลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%

♥Sweet Chocolate (ช็อกโกแลตชนิดหวาน)
 ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่าๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย

♥White Chocolate (ไวท์ช็อกโกแลต)
 ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล , cocoa butter , นมสด และ ใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter


♥Liquid Chocolate (ช็อกโกแลตเหลว)
 เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวดๆ ละ 1ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน


♥Couverture (กูแวร์ทู)
 ช็อกโกแลตชนิดนี้เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของ cocoa butter อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลตอยู่


♥Ganache (กานาช)
 ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต Ganache ทำโดยการหั่นช็อกโกแลตและใส่วิปปิ้งลงไปตีในครีมร้อนๆ ผสมกันจนช็อกโกแลตละลายและส่วนผสมข้นและแข็งขึ้น


♥Confectionery Coating (เคลือบลูกกวาด)
 เป็นช็อกโกแลตที่ไว้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาดต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของ cocoa butter เหมือนชนิดอื่นๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้

ตำนานช็อคโกแลตและวันวาเลนไทน์

 ช็อคโกแลตของหวานแสนอร่อยและกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เคียงข้างไปกับดอกกุหลาบช่อโตสำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์จากคนรักสู่คนรักนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ประวัติยาวไกลหลายหมื่นลี้ มีมานานมากแล้ว ถ้าเปรียบเทียบแบบไทยๆ เราก็คงเรียกว่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่นเลยแหละ "ช็อคโกแลต" ค้นพบครั้งแรกเมื่อ 4000 ปีที่แล้ว ในอาณาจักร Aztec และ Maya ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผสมขึ้นมาจากเมล็ดของต้นโกโก้ และเรียกชื่อว่า Cocoatl ซึ่งEmperor Montezuma นิยามว่าเป็นเครื่องดื่มจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว

 เมื่อปี 1528 เป็นปีที่สเปนมีชัยชนะต่ออาณาจักร Aztec และ Maya จึงได้นำ Cocoatl กลับไปยังสเปนด้วยและเรียกชื่อใหม่ว่า cho-co-LAH-tay และในปี 1615 ช็อคโกแลตก็ได้เผยโฉมต่อสังคมของอายรธรรมใหม่ครั้งแรก ในงานสมรสของเชื้อพระวงศ์แห่งฝรั่งเศสและจากนั้นก็จึงแพร่หลายเข้าสู่อังกฤษ ในเวลาต่อมา

 ในปี 1765 ช็อคโกแลตได้เดินทางไกลอีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาโดยการชักนำเข้าสู่วงการของ John Hanan ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Dr. James Baker ในด้านการวิจัยและการผลิต ไม่นานโรงงานผลิตช็อคโกแลตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอเมริกานั่นเอง

 ในช่วงแรกๆ นั้นผู้ที่จะได้ลิ้มรสช็อคโกแลตจะเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์หรือ ระดับเศรษฐีเท่านั้นเพราะว่าราคาแพงมากและถือเป็นของหายากชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาสู่ยุคอารยธรรมใหม่ มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสทำให้ระบบศักดินาล่มสลายลง และช็อคโกแลตก็เข้าถึงประชาชนทั่วไปมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ช็อคโกแลตสามารถรักษาอาการเกี่ยวกับช่องท้องได้ ทำให้ เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น

 ช่วงแรกนั้นช็อคโกแลตยังไม่ได้มีส่วนประกอบมากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ยังคงเป็นเพียงแท่งโกโก้เท่านั้น แต่เมื่อมีการค้นคว้ามากขึ้นก็สามารถบรรจุส่วนผสมต่างๆ ลงไปได้มากขึ้น เช่น นมผง ครีม คาราเมล หรือ อัลมอนด์ ทำให้ช็อคโกแลตมีรสชาติที่หลากหลายและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมาจนบัดนี้

 ปัจจุบันนี้เรายกย่องกันว่าประเทศเบลเยี่ยมนั้นเป็นแหล่งผลิตช็อคโกแลต ที่ดีที่สุดในโลก คนที่ทำหน้าที่ในการผลิตช็อคโกแลตนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นช่างฝีมือประจำชาติเลยทีเดียว น่ายินดีนะคะนอกจากจะเป็นประเทศที่ ผลิตระฆังได้ดีที่สุด (เบลล์=ระฆัง) แล้ว ก็ยังผลิตช็อคโกแลตได้เป็นเยี่ยมอีกอย่าง หนึ่งด้วย

 จากตำนานของช็อคโกแลตที่นาวนานหลายพันปีนั้น ยังไม่เห็นว่าจะมีส่วนใด มาเกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันสิ้นชีวิตของ St. Valentine ผู้ที่ศรัทธาในความรักมากกว่าสงครามเลย เพราะก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ ท่านก็ได้มอบเพียง การ์ดใบเดียวพร้อมคำว่า "Love From Your Valentine" เท่านั้นเอง ไม่มีช็อคโกแลตแนบไปด้วยแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นได้ว่า เนื่องจาก ในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้เสียชีวิตนั้น ช็อคโกแลตยังเป็นของหายากจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันได้ จึงส่งไปพร้อมการ์ดและดอกไม้ ซึ่งสื่อความหมายของความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้ และอาจจะรวมไปถึง การที่ช็อคโกแลตเคยเป็นสัญลักษณ์ของ เสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพ ในช่วงที่ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยก็ได้

 แม้หลายคนจะกังวลว่า "กินช็อคโกแลตวันนี้ จะอ้วนพีในวันหน้า" ก็ยังไม่วาย เผลอ เห็นใกล้มือเมื่อไหร่ก็คว้าเข้าปากง่ายๆ แบบลืมตัวอยู่เสมอๆ บางคนก็บอกว่าช็อคโกแลตสามารถเพิ่มพลังทางเพศได้ ก็อาจจะเป็นได้ เพราะน้ำตาลในช็อคโกแลต ไปกระตุ้นการทำงานของก้านสมองที่ควบคุม Basic Instinct ของมนุษย์ ให้ทำงานได้ก้าวหน้ากว่าสมองจริงๆ ก็ได้นะคะ แม่อบเชยหวังว่าข่าวนี้จะไม่แพร่ ออกไปก่อนวาเลนไทน์หลายวันนัก เกรงเหลือเกินว่า ช็อคโกแลตจะขาดตลาด หนุ่มสาวหลายคู่อาจจะพลาดการให้ช็อคโกแลตกันในวันวาเลนไทน์ เพราะหาก ช็อคโกแลตทำหน้าที่ได้คล้ายไวอากร้าแต่ราคามหาชนอย่างนี้มีหวังเกิดการกักตุน กันแน่นอนเลย